สวัสดีครับ ผมชื่อตุลย์นะครับ หากยังจำกันได้ ผมเคยแชร์เรื่องราวเกี่ยวการเรียนการสอนปริญญาโทสาขานิติศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัยซูริคไปเมื่อครั้งที่แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านไม่เป็นไรครับ สามารถไปติดตามที่ link นี้ได้เลยครับ: https://www.atss-swiss.org/post/thitiwoottechapunmaster-sdegreestudyexperienceattheuniversityofzurich แต่ในส่วนของวันนี้นั้นเราจะมาพูดคุยกันเรื่องเบา ๆ เกี่ยวกับซูริค (Zürich) ในฐานะที่เป็นเมืองที่ผมเคยไปใช้ชีวิตอยู่ระหว่างศึกษาปริญญาโทเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่งนอกจากนี้แล้วยังเป็นเมืองที่มีความงดงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหาจะน่าสนใจแค่ไหนเรามาเที่ยวทิพย์ไปพร้อมกันตรงนี้ได้เลยครับ
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/262114086_645533116807382_478077423792281315_n.jpg)
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/261995782_1064291214112071_3865843070789424311_n.jpg)
ในช่วงเดือนเมษายนทางการซูริคจะนำดอกกุหลาบมาประดับไว้ในบ่อน้ำพุทั่วเมืองเป็นการต้อนรับการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ
หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับทัศนียภาพอันงดงามของนครซูริค เนื่องจากเป็นเมืองที่มักจะไปปรากฏโฉมอยู่บนหน้าหนังสือและโฆษณาโปรโมตการท่องเที่ยวของสวิตเซอร์แลนด์บ่อย ๆ รวมถึงซีรี่ส์ดังหลาย ๆ เรื่อง นครซูริคเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ถ้าวัดในแง่ของประชากร (มีประชากรประมาณ 428,700 คน) เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของรัฐ (Kanton) ซูริค (ชื่อเมืองกับชื่อรัฐเป็นชื่อเดียวกัน) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ถึงแม้จะไม่ใช่รัฐร่วมก่อตั้งประเทศ (ซูริคเข้าร่วมสมาพันธรัฐสวิสในปี 1351 นับเป็นรัฐอันดับที่ 6) แต่ซูริคก็นับว่าเป็นรัฐที่สำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ เพราะเป็นรัฐที่มี GDP สูงสุด จนถือว่าเป็น “เครื่องจักรทางเศรษฐกิจ” (Wirtschaftsmotor) ของประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญรัฐซูริคฉบับปี 1869 ยังเป็นรัฐธรรมนูญระดับรัฐฉบับแรกของสวิตเซอร์แลนด์ที่มีการรับรองประชาธิปไตยทางตรง (direkte Demokratie) ของประชาชน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบให้รัฐอื่น ๆ ปฏิรูปการเมืองในลักษณะเดียวกันตามในภายหลัง
ในวันแรกที่ผมก้าวเท้าออกจากสนามบินเพื่อเดินทางเข้าไปในตัวเมือง นอกจากระบบรถไฟสาธารณะที่สะดวกสบายแล้ว ผมยังจำได้ว่า สิ่งแรกที่ประทับใจเกี่ยวกับซูริคก็คือระบบรถราง (Tram) ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากรูปร่างจะดูน่ารัก ใช้สะดวกสบาย และมีเครือข่ายโยงใยครอบเมืองอย่างเป็นระบบแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยครับ จริง ๆ แล้วรถรางเป็นระบบขนส่งมวลชนที่พบเห็นได้ทั่วไปในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ที่ผมประทับใจของซูริคก็เพราะว่าเป็นที่แรกที่ได้เปิดประสบการณ์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า เมืองแต่ละเมืองในสวิตเซอร์แลนด์จะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับเมืองในประเทศไทยหรือประเทศใหญ่อื่น ๆ ในยุโรป ดังนั้น เขาจึงไม่ require ระบบขนส่งที่มีขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าหรือรถใต้ดิน กรณีของซูริคนั้นถึงขั้นว่ามีการลงประชามติ (Referendum/Volksabstimmung) ในปี 1973 ว่าจะเอาหรือไม่เอาระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งผลปรากฏว่า ประชาชนซูริคกว่า 70% บอกว่า “ไม่เอา” (Nein) โครงการจึงเป็นอันต้องพับไป
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/b252b0_405d341a06ba47728c298b6196a284e3mv2.png)
รถรางซูริค (ภาพจาก: https://www.stadt-zuerich.ch/vbz/en/index.html)
จุดจุดนึงที่รถรางหลายสายจะมา cross กัน และเป็นจุดที่มีทัศนียภาพงดงามก็คือป้าย “Bellevue” (ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “วิวสวย” ซึ่งก็สวยสมชื่อ) จากจุดนั้นเราสามารถใช้เวลาไม่นานเดินไปถึงทะเลสาบซูริค (Zürichsee) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของสวิตเซอร์แลนด์ มีเนื้อที่กว่า 88 ตารางกิโลเมตร และทอดยาวไปยัง 3 รัฐด้วยกัน ได้แก่ ซูริค ชวีซ (Schwyz) และซังต์กัลเลิน (St. Gallen) นอกจากน้ำที่ใสสะอาดแล้ว ทะเลสาบยังมีสวนสาธารณะร่มรื่นทอดไปตลอดฝั่งด้วย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้คนมักจะมาพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายกันในยามว่าง ในบางจุดจะมีฝูงหงส์แวะมาทักทายผู้มาเยือนให้ถ่ายรูปกันสวย ๆ ด้วย
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/b252b0_d74ef2ab8210401eb64d24dad000bc63mv2.jpg)
ฝูงหงส์ริมทะเลสาบซูริค
(ภาพจาก: https://www.pinterest.ch/pin/335096028524408980)
จากทะเลสาบซูริคจะมีแม่น้ำประจำเมืองที่ต่อตรงจากทะเลสาบทอดยาวเข้าไปในเมืองก่อนจะเข้าไปบรรจบกับแม่น้ำอาเรอ (Aare) ที่เมืองบรุกก์ (Brugg) ซึ่งก็คือแม่น้ำลิมมัท (Limmat)
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/Screenshot-2023-12-20-at-17.53.23.png)
เราสามารถเดินจากทะเลสาบเลียบแม่น้ำเพื่อดื่มด่ำกลิ่มอายความคลาสสิคของเมืองซูริคได้เลย เพราะระหว่างทางเราจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญซึ่งเป็น landmark ของนครซูริคเยอะมาก สำหรับจุดชมวิวที่ผมแนะนำก็คือลาน Lindenhof จากจุดนี้เมื่อเราทอดสายตาลงไป เราจะได้เห็นความงดงามของแม่น้ำ และย่านเมืองเก่า (Altstadt) ที่รุ่มรวยไปด้วยเสน่ห์แห่งยุคกลางไปพร้อมกัน Lindenhof นี้เอง เคยเป็นป้อมปราการเก่าของทหารโรมันมาก่อน ถูกสร้างขึ้นในช่วง 15 ปีก่อนคริสตกาล (15 BC) ภายหลังจากที่อาณาจักรโรมันพิชิตดินแดนแถบเทือกเขาแอลป์ได้แล้ว Easter Egg ที่สำคัญที่ลาน Lindenhof นี้ก็คือ (แบบจำลอง) ป้ายหลุมศพทหารโรมันที่ถือกันว่าเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการบันทึกชื่อเรียกเมืองซูริคในภาษาละตินว่า “Turicum” โดยสรุปก็คือ เมืองนี้ฝ่ายโรมันเป็นผู้ตั้งชื่อให้ แต่ต่อมาคนท้องถิ่นที่ไม่ได้พูดภาษาละตินเป็นภาษาแม่ได้เรียกแปร่งเพี้ยนกันต่อ ๆ มาจนกลายมาเป็นคำว่า Zürich (ในภาษาเยอรมันออกเสียงว่า “ซือริคช์”) ในปัจจุบัน ในรูปด้านล่างนี้ คือ ภาพถ่ายจากลาน Lindenhof ทอดลงไปยังมุมเมืองที่เป็นที่ตั้งของห้องสมุดกลาง (Zentralbibliothek) และหอจดหมายเหตุ (Stadtarchiv) เมืองซูริค ซึ่งรวบรวมเอกสารและบันทึกที่สำคัญในประวัติศาสตร์ รวมถึงโบราณวัตถุไว้สำหรับต้อนรับผู้สนใจเป็นจำนวนมาก
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/Screenshot-2023-12-21-at-15.38.52.png)
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/Screenshot-2023-12-21-at-15.39.03.png)
แบบจำลองป้ายหลุมศพทหารโรมันที่ Lindenhof ของจริงได้ถูกนำไปตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองซูริค (Landesmuseum Zürich)
โบสถ์สำคัญประจำซูริคที่เป็นมุมมหาชนที่นักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปกันมีอยู่ (หลัก ๆ) 4 แห่ง ได้แก่ โบสถ์ St. Peter โบสถ์ Fraumünster โบสถ์ Grossmünster และโบสถ์ Wasserkirche โดยทั่วไปโบสถ์ในซูริคถึงแม้จะดูเรียบง่าย ไม่ได้มีลวดลายหวือหวา แต่ก็ดูมีมนต์ขลังชวนค้นหา สำหรับคนที่ยังไม่ชินบางคนอาจจะแปลกใจว่า โบสถ์สวิสเมื่อมองจากด้านนอกก็ดูสวยดี แต่ทำไมด้านในกลับโล่ง ไม่ได้มีการประดับประดา ประหนึ่งว่ายังสร้างไม่เสร็จเลย คำตอบอยู่ที่การปฏิรูปศาสนาในซูริคในช่วงศตวรรษที่ 16 ครับ ซึ่งเกิดขึ้นจากการจัด event ชวนพระไปกินไส้กรอก!!
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_5209.jpg)
โบสถ์ Fraumünster (ซ้าย) และโบสถ์ St. Peter (ขวา)
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_3299.jpg)
โบสถ์ Grossmünster(ซ้าย) และโบสถ์ Wasserkirche (ขวา) โบสถ์ทั้ง 4 แห่งทั้งหมดนี้ซึ่งตั้งอยู่คนละฟากของแม่น้ำ Limmat โดยมีสะพาน Münsterbrücke เชื่อม
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_0699.jpg)
โบสถ์ St. Peter ที่ผมมองแล้วจินตนาการว่ามันคือดวงตาของซูริค
อันนี้ต้องมีการเท้าความนิดหน่อยว่า การปฏิรูปศาสนาในดินแดนเยอรมันโดย Martin Luther ในปี 1517 ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการปฏิรูปศาสนาในที่อื่น ๆ ทั่วยุโรปด้วย โดยที่ซูริค บาทหลวง Huldrych Zwingli เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ ตัวหลวงพ่อเองไม่เห็นด้วยกับข้อบังคับของศาสนาที่กำหนดให้ทุกคน (ทั้งพระ ทั้งฆราวาส) ถือศีลอดในช่วงเทศกาลมหาพรต เพราะไม่ใช่ข้อบังคับที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์และเป็นกฎที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ทุกคนจึงมีสิทธิเลือกว่าจะถือศีลอดหรือไม่ จากนั้นหลวงพ่อเลยเริ่มเทศน์เผยแพร่แนวคิดออกไปสู่สาธารณชน แล้วคนที่มาเร่งให้การปฏิรูปสำเร็จเร็วขึ้นก็คือ Christoph Froschauer เจ้าของโรงพิมพ์ “Orell Füssli” ประจำเมืองซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกัน ในวันที่ 9 มีนา 1522 ซึ่งเป็นช่วงถือศีลอดพอดี นาย Froschauer คนนี้ได้จัด event ชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคนซึ่งมีบาทหลวง Zwingli ด้วย ให้มาร่วมกินไส้กรอกที่บ้าน เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ประท้วงข้อบังคับถือศีลอด แล้วจงใจปล่อยข่าวออกไปให้เข้าหูฝ่ายบ้านเมืองและศาสนจักร เหตุการณ์นี้เรียกตรงตัวว่า “Wurstessen” (กินไส้กรอก) และถือเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปศาสนาในซูริค ต่อมาศาสนจักรเลยเรียกร้องให้ฝ่ายบ้านเมืองของซูริคลงโทษทุกคนที่ฝ่าฝืนข้อบังคับถือศีลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่ง่าย เพราะมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมากจนเกิดความไม่สงบ สุดท้ายสภาซูริคได้ลงมติให้การถือศีลอดเป็นไปโดยสมัครใจ ยกเลิกการบังคับบูชานักบุญ ตามมาด้วยการปลดรูปและแท่นบูชานักบุญ รวมถึงเครื่องประดับประดาที่ดูหรูหราต่าง ๆ ออกไปจากโบสถ์ ทำให้โบสถ์ในซูริค (ที่ไม่ใช่โบสถ์คาทอลิก) มีสภาพดังที่เห็นในปัจจุบัน หลังจากนั้น บาทหลวง Zwingli และทีมงานก็ได้แปลพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มออกมาเป็นภาษาเยอรมัน โดยมี Christoph Froschauer เป็นผู้จัดพิมพ์ในปี 1531 และ “ไบเบิลซูริค” (Zürcher Bibel) ฉบับนี้เองก็กลายมาเป็นไบเบิลฉบับแรกของโลกที่เป็นภาษาเยอรมัน (เสร็จก่อนงานแปลฉบับสมบูรณ์ของ Martin Luther ฝั่งเยอรมัน 3 ปี) และยังเป็นไบเบิลที่มีการวาดภาพประกอบเรื่องราวตามพระคัมภีร์ลงไปด้วย นับเป็นแนวคิดที่ท้าทายความเชื่อดั้งเดิมทางศาสนาในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก สำหรับผู้สนใจ ในโบสถ์ Grossmünster มีคลังเก็บพระคัมภีร์เก่าอยู่ที่ชั้นบน ซึ่งเราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมไบเบิลฉบับตำนานนี้ได้ครับ
โดยส่วนตัว โบสถ์ในซูริคที่ผมชอบที่สุด คือ “โบสถ์กลางน้ำ” (Wasserkirche) ที่อยู่ติดกับสะพาน Münsterbrücke และโบสถ์ Grossmünster ถ้าผมจำไม่ผิด โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในซูริคซึ่งสร้างประมาณปี 1000 ขึ้นบนบริเวณที่เคยเป็นเกาะกลางแม่น้ำเพื่อเป็นเกียรติแด่นักบุญสองพี่น้อง Felix และ Regula ทุกวันนี้จะไม่ได้เห็นโบสถ์ตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำแล้ว เพราะมีการต่อเติมชายฝั่งแม่น้ำยื่นออกไปให้บรรจบกับที่ตั้งของตัวโบสถ์ เนื่องจากเกาะเดิมถูกน้ำซัดกัดเซาะจนผุพังเข้ามาเรื่อย ๆ ตามตำนานเล่าว่า ในปี 286 Felix และ Regula ถูกทหารโรมันจับมาทรมานเพื่อบังคับให้ละทิ้งศรัทธาในคริสต์ศาสนา เมื่อไม่สำเร็จจึงถูกประหารบนเกาะกลางน้ำนั้น ตามตำนานเล่าไว้ว่า เมื่อถูกบั่นหัว ร่างของสองพี่น้องก็ยังคงลุกขึ้นมาประคองศีรษะของตัวเองไว้ในมือก่อนจะเดินขึ้นไปบนเนินเขาที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อภาวนาต่อพระเจ้าก่อนจะสิ้นใจลง (เนินเขานั้นเองได้กลายมาเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Grossmünster ในปัจจุบัน) ต่อมา Felix และ Regula ได้กลายมาเป็นนักบุญผู้พิทักษ์ (Schutzpatrone) ของซูริค แต่ภายหลังจากที่มีการปฏิรูปศาสนาในซูริคดังที่เล่าไปก่อนหน้านี้ โบสถ์ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ แหล่งเรียนรู้ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอันมีคุณูปการสำคัญในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยซูริคในปี 1833 นอกจากความมินิมอลที่ดูมีเสน่ห์แล้ว สิ่งที่ผมประทับใจเกี่ยวกับโบสถ์นี้ก็คือการเป็นสถานที่ที่มักจะมีคนมาเล่นดนตรีเปิดหมวกเป็นประจำซึ่งโถงด้านหน้าโบสถ์นี้ทำหน้าที่ส่งเสริมให้เสียงเพลงที่บรรเลงออกมาไพเราะกังวาลจับใจ ภาพที่ผมไม่มีวันลืมเลย ก็คือ ในวันสุดท้ายที่ผมอาศัยอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อผมก้าวเท้าเดินผ่านหน้าโบสถ์เพื่อจะไปอำลาสถานที่ที่คุ้นเคย อยู่ ๆ นักดนตรีก็บรรเลงเพลง “Time To Say Goodbye” ของ Andrea Bocelli & Sarah Brightman ขึ้นมาโดยที่ไม่มีการนัดหมาย ราวกับว่าที่แห่งนี้รับรู้ถึงความผูกพันที่เรามีและยินดีที่จะฝากความตรึงใจในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่จะต้องเดินทางกลับไป
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/P1030463.jpg)
ด้านนอกโบสถ์ Wasserkirche จะเห็นได้ว่าด้านหน้าของโบสถ์นั้นเป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ของบาทหลวง Zwingli แกนนำในการปฏิรูปศาสนาของซูริค
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_E6759.jpg)
ด้านในโบสถ์ Wasserkirche
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_7359.jpg)
โถงด้านหน้าของโบสถ์ที่มักจะมีคนมาเล่นดนตรีเปิดหมวกเป็นประจำ
เชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงใช้พลังงานในการเดินเที่ยวกับผมจนเหนื่อยแล้ว ผมขอชวนทุกคนทานอะไรกันหน่อยครับ ชาวซูริคมีเมนูท้องถิ่นตัวหนึ่งที่ภูมิใจนำเสนอเป็นเมนูประจำรัฐกันเลยทีเดียวก็คือ “Zürcher Geschnetzeltes” หรือเนื้อหั่นชิ้นผัดกับซอสครีมเห็ด พริกไทยดำ หอมใหญ่ และไวน์ขาวนั่นเองครับ ซึ่งมักจะเสิร์ฟมาคู่กับ “Rösti” หรือมันฝรั่งขูดเป็นฝอยแล้วนำมาจี่บนกระทะให้เป็นแผ่นใหญ่ คล้าย ๆ hash brown แต่เป็นสไตล์สวิส รสชาติจะออกเค็มนำแต่กลมกล่อมใช้ได้ เหมาะทานกับไวน์แดงเพื่อเพิ่มความอร่อย
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/bb_flfi140804_0017a_x.jpg)
Zürcher Geschnetzeltes
(ภาพจาก: https://www.bettybossi.ch/de/Rezept/ShowRezept/BB_FLFI140804_0017A-40-de)
ส่วนอีกเมนูนี่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้เลย ผู้อ่านคงจะจำเรื่อง event ชวนพระกินไส้กรอกที่นำไปสู่การปฏิรูปศาสนาที่ผมเล่าไปข้างต้นได้ไหมครับ ไส้กรอกสูตรในวันนั้นได้ชื่อว่า “Zwingli-Wurst” ซึ่งที่มาของชื่อก็มาจากชื่อบาทหลวง Zwingli ที่เป็นหนึ่งในแกนนำปฏิรูปศาสนานั่นเอง ปัจจุบันสามารถหากินได้ทั่วไปในซูริค ในรูปที่ผมนำมาแสดงด้านล่างนี้เป็น Zwingli-Wurst ของร้าน “Zeughauskeller” ซึ่งเคยเป็นคลังอาวุธเก่าของซูริค
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_5094.jpg)
แบบจำลองหน้าไม้ Wilhelm Tell วีรบุรุษแห่งชาติ (Nationalheld) สวิส ที่ประดับไว้บนผนังร้าน Zeughauskeller
เมื่อทานกันอิ่มแล้วผมขอพาทุกท่านออกมาเดินย่อยกันหน่อยครับ ถัดจากร้าน Zeughauskeller เมื่อเดินทอดน่องไปซักพัก เราจะเจอกับตรอกเล็ก ๆ ที่มีบ้านที่ยังคงสภาพหน้าต่างไม้โบราณแกะสลัก (แบบ bay window) ไว้ในสภาพดีและมีสีสันเรียงราย ตรอกแห่งนี้จะดูสวยสดงดงามเป็นพิเศษ และกลายมาเป็นมุมมหาชนในทันทีในช่วงงานวันชาติสวิส (1 สิงหาคมของทุกปี) เพราะจะมีการประดับธงชาติขนาดใหญ่ไว้ตามบ้าน ตรอกนี้มีชื่อว่า “Augustinergasse” ซึ่งมีที่มาจากโบสถ์ “Augustinerkirche” ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นั้นเอง
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_2793.jpg)
บรรยากาศช่วงเทศกาลวันชาติที่ Augustinergasse
จบไปแล้วนะครับ สำหรับ “โม้ไปเรื่อยเรื่องซูริค” ในวันนี้ หวังว่าเรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังจะให้ความสนุกแก่ผู้อ่าน ส่วนตัวผมตอนนี้เริ่มจะคอแห้งนิดหน่อย (เนื่องจากโม้นาน) แต่โชคดีที่ซูริคยังมีอีกเรื่องนึงที่ผมประทับใจนั่นก็คือแหล่งน้ำสะอาดดื่มได้ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วเมือง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำดื่มติดตัวเลย และเมืองซูริคนี้เองก็มีน้ำพุดื่มได้ถึง 1200 แห่งตั้งอยู่ทั่วเมืองครับ ซึ่งอาจจะมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว ผมขออนุญาตพักดื่มน้ำซักแปป ก่อนที่จะลาจากกันไป แล้วถ้ามีโอกาส ผมจะนำเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับสวิตเซอร์แลนด์มาแชร์และแลกเปลี่ยนกันใหม่ ขอขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ สวัสดีครับ
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/image.png)
น้ำพุในย่านเมืองเก่า (Altstadt) ของซูริค (ภาพจาก: https://www.zuerich.com/de/besuchen/1200-brunnen)
![](https://atss-swiss.org/wp-content/uploads/2023/12/IMG_6387.jpg)
บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงที่สวนสาธารณะ Platzspitz Park ของซูริค